วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ที่เมืองนครศรี เจ้าเมืองนามว่าพระยาโกศรี มเหสีนามว่า ทองแดง มีโอรสนามว่า มหาวงศ์ ท้าวมหาวงศ์ชอบกีฬาชนไก่ วันหนึ่งไปต่อไก่ในป่ากับขุนสี่คน คือ ขุนเครือ ขุนคาน ขุนเค่ง และขุนทุ่มภู่ ได้ธิดาจระเข้ชื่อนางแตงอ่อน ผู้มีรูปกายเป็นมนุษย์มาเป็นมเหสี นางแตงอ่อนประสูติโอรส เมื่อท้าวมหาวงศ์ไปคล้องช้างในป่า นางจึงถูกหมู่มเหสีทั้งหลายเปลี่ยนโอรสของนางเป็นจรเข้ และโอรสจริงเอาไปลอยน้ำ เทพธิดาจึงนำไปเลี้ยงไว้บนสวรรค์ และตั้งชื่อว่า”สุริยง
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องนางแตงอ่อน
ส่วนนางแตงอ่อนถูกสามีขับไล่ออกจากเมืองเพราะประสูติโอรสเป็นจระเข้ …นางแตงอ่อนกลับไปเมืองนาค …พบกุมภาพี่ชายของตนปกครองเมืองนาคสืบต่อจากบิดา …พี่ชายกุมภารู้ข่าวด้วยความสงสาร ได้มอบเมืองให้กอระกันผู้เป็นน้องชายปกครองต่อ …ส่วนตนกับแตงอ่อน ได้บวชเป็นฤาษี …เพื่อเรียนวิชาไว้แก้แค้นมหาวงศ์ ซึ่งขับไล่น้องสาวตน
สุริยงได้ศึกษาวิชาการต่างๆ และได้ลงมาพบว่า…มารดาตนถูกยักษ์ลักพาตัวไป…จึงได้ตามมารดาคืน และรบกับยักษ์จนได้ชัยชนะ…สุริยงได้นางปทุมมา นางอินทะวงศ์ นางหยาดคำ และนางคำไหล เป็นภริยา ซึ่งยักษ์นั้นได้ลักพาตัวมาไว้…และสุริยงก็ได้พามารดากลับบ้านเมือง…มหาวงษ์ได้ทราบความจริงว่านางแตงอ่อนถูกใส่ร้ายและสุริยงคือลูกของตน…พ่อแม่ลูกได้พบกันแล้วเข้าใจกัน …ทั้งสามคนจึงได้อยู่ด้วยกันอย่างสุขสันต์ในบั้นปลายชีวิต และครองคู่เมืองนครศรีสืบมา
Credit: lib.ubu.ac.th
นิทานเรื่องสังข์ทอง อีกวรรณกรรมพื้นบ้านและเป็นนิทานพื้นบ้านไทย ที่มีเนื้อเรื่องมีความสนุกสนานและเป็นนิยมมีตัวละครที่เป็นรู้จักกันเป็นอย่างดี คือ เจ้าเงาะซึ่งคือพระสังข์กับนางรจนา เป็นนิทานที่คนไทยในท้องถิ่นต่างๆ คุ้นเคยและชื่นชอบ ดังปรากฏแพร่หลายในท้องถิ่นต่างๆ หลากหลายสำนวนนอกจากความนิยมนิทานสังข์ทองในรูปแบบของวรรณกรรมแล้ว นิทานสังข์ทองยังมีความสัมพันธ์และบทบาทในวิถีชีวิตไทยด้านต่างๆ เช่น ชื่อสถานที่ สำนวนไทย เพลงพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย ตำราพยากรณ์ชีวิต จิตรกรรม ตลอดจนศิลปะแขนงต่างๆ
แม้ในปัจจุบัน นิทานสังข์ทองก็ยังได้รับความนิยมและดำรงอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น เนื้อหาในหนังสือแบบเรียนหลายหลักสูตร หนังสือการ์ตูน หนังสือนิทาน ภาพยนตร์การ์ตูนละครพื้นบ้าน นวนิยาย ตลอดจนงานศิลปะร่วมสมัย เช่น งานประติมากรรม การแสดงละครหุ่นสมัยใหม่ นอกจากนี้เนื้อหาและตัวละครจากนิทานสังข์ทองยังสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ เช่น ชื่อพันธุ์ไม้ ชื่อรายการโทรทัศน์ ฯลฯ กล่าวได้ว่านิทานสังข์ทอง เป็นนิทานที่คนไทยคุ้นเคยและชื่นชอบมาหลายยุคหลายสมัยนับเป็นมรดกทางจินตนาการของคนไทย ที่ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
นิทานพื้นบ้านไทย เรื่องสังข์ทอง
ท้าวยศวิมล” มีมเหสีชื่อ”นางจันท์เทวี” มีสนมเอกชื่อ “นางจันทาเทวี” …พระองค์ไม่มีโอรสธิดาจึงบวงสรวงและรักษาศีลห้าเพื่อขอบุตร …และประกาศแก่พระมเหสีและนางสนมว่าถ้าใครมีโอรสก็จะมอบเมืองให้ครอง
อยู่มานางจันท์เทวีทรงครรภ์ เทวบุตรจุติมา เป็นพระโอรสของนาง แต่ประสูติมาเป็น”หอยสังข์” …นางจันทาเทวีเกิดความริษยาจึงติดสินบนโหรหลวงให้ทำนายว่าหอยสังข์จะทำให้บ้านเมืองเกิดความหายนะ ท้าวยศวิมลหลงเชื่อนางจันทาเทวี จึงจำใจต้องเนรเทศนางจันท์เทวีและหอยสังข์ไปจากเมือง …นางจันท์เทวีพาหอยสังข์ไปอาศัยตายายช่าวไร่ ช่วยงานตายายเป็นเวลา 5 ปี พระโอรสในหอยสังข์แอบออกมาช่วยทำงาน เช่น หุงหาอาหาร ไล่ไก่ไม่ให้จิกข้าว เมื่อนางจันท์เทวีทราบก็ทุบหอยสังข์เสีย
นิทานพื้นบ้าน วรรณกรรมไทย สังข์ทอง
ในเวลาต่อมา พระนางจันทาเทวีได้ไปว่าจ้างแม่เฒ่าสุเมธาให้ช่วยทำเสน่ห์เพื่อที่ท้าวยศวิมลจะได้หลงอยู่ในมนต์สะกด และได้ยุยงให้ท้าวยศวิมลไปจับตัวพระสังข์มาประหาร ท้าวยศวิมลจึงมีบัญชาให้จับตัวพระสังข์มาถ่วงน้ำ แต่ท้าวภุชงค์(พญานาค) ราชาแห่งเมืองบาดาลก็มาช่วยไว้ และนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ก่อนจะส่งให้นางพันธุรัตเลี้ยงดูต่อไปจนพระสังข์มีอายุได้ 15 ปีบริบูรณ์
วันหนึ่ง นางพันธุรัตได้ไปหาอาหาร พระสังข์ได้แอบไปเที่ยวเล่นที่หลังวัง และได้พบกับบ่อเงิน บ่อทอง รูปเงาะ เกือกทอง(รองเท้าทองนั้นเอง) ไม้พลอง และพระสังข์ก็รู้ความจริงว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์ เมื่อพระสังข์พบเข้ากับโครงกระดูก จึงได้เตรียมแผนการหนีด้วยการสวมกระโดดลงไปชุบตัวในบ่อทอง สวมรูปเงาะ กับเกือกทอง และขโมยไม้พลองเหาะหนีไป
เมื่อนางพันธุรัตทราบว่าพระสังข์หนีไป ก็ออกตามหาจนพบพระสังข์อยู่บนเขาลูกหนึ่ง จึงขอร้องให้พระสังข์ลงมา แต่พระสังข์ก็ไม่ยอม นางพันธุรัตจึงเขียนมหาจินดามนตร์ที่ใช้เรียกเนื้อเรียกปลาได้ไว้ที่ก้อนหิน ก่อนที่นางจะอกแตกตาย ซึ่งพระสังข์ได้ลงมาท่องมหาจินดามนตร์จนจำได้ และได้สวมรูปเงาะออกเดินทางต่อไป
นิทานพื้นบ้าน วรรณกรรมไทย เรื่องสังข์ทอง
พระสังข์เดินทางมาถึงเมืองสามล ซึ่งมี “ท้าวสามล”และ “พระนางมณฑา” ปกครองเมือง ซึ่งท้าวสามลและพระนางมณฑามีธิดาล้วนถึง 7 พระองค์ โดยเฉพาะ พระธิดาองค์สุดท้องที่ชื่อ “รจนา” มีสิริโฉมเลิศล้ำกว่าธิดาทุกองค์ จนวันหนึ่งท้าวสามลได้จัดให้มีพิธีเสี่ยงมาลัยเลือกคู่ให้ธิดาทั้งเจ็ด ซึ่งธิดาทั้ง 6 ต่างเสี่ยงมาลัยได้คู่ครองทั้งสิ้น เว้นแต่นางรจนาที่มิได้เลือกเจ้าชายองค์ใดเป็นคู่ครอง ท้าวสามลจึงได้ให้ทหารไปนำตัวพระสังข์ในร่างเจ้าเงาะซึ่งเป็นชายเพียงคนเดียวที่เหลือในเมืองสามล ซึ่งนางรจนาเห็นรูปทองภายในของเจ้าเงาะ จึงได้เสี่ยงพวงมาลัยให้เจ้าเงาะ ทำให้ท้าวสามลโกรธมากจึงเนรเทศนางรจนาไปอยู่ที่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะ
นิทานพื้นบ้านไทย นิทานก่อนนอน เรื่องสังข์ทอง
ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์ อาสน์ที่ประทับของพระอินทร์เกิดแข็งกระด้าง อันเป็นสัญญาณว่ามีผู้มีบุญกำลังเดือดร้อน จึงส่องทิพยเนตรลงไปพบเหตุการณ์ในเมืองสามล จึงได้แปลงกายเป็นกษัตริย์เมืองยกทัพไปล้อมเมืองสามล ท้าให้ท้าวสามลออกมาแข่งตีคลีกับพระองค์ หากท้าวสามลแพ้ พระองค์จะยึดเมืองสามลเสีย …ท้าวสามลส่งหกเขยไปแข่งตีคลีกับพระอินทร์ แต่ก็แพ้ไม่เป็นท่า จึงจำต้องเรียกเจ้าเงาะให้มาช่วยตีคลี ซึ่งนางรจนาได้ขอร้องให้สามีช่วยถอดรูปเงาะมาช่วยตีคลี เจ้าเงาะถูกขอร้องจนใจอ่อน และเงาะป่าก็ถอดรูปเป็นพระสังข์ทองใส่เกือกแก้วเหาะขึ้นไปตีคลีกับพระอินทร์จนชนะ พระอินทร์ก็กลับไปบนสวรรค์
นิทานไทย_สังข์ทอง
หลังจากเสร็จภารกิจที่เมืองสามลแล้ว พระอินทร์ได้ไปเข้าฝันท้าวยศวิมล และเปิดโปงความชั่วของพระนางจันทาเทวีผู้เป็นสนมเอก พร้อมกับสั่งให้ท้าวยศวิมลไปรับพระนางจันท์เทวีกับพระสังข์มาอยู่ด้วยกันดังเดิม ท้าวยศวิมลจึงยกขบวนเสด็จไปรับพระนางจันท์เทวีกลับมา และพากันเดินทางไปยังเมืองสามลเมื่อตามหาพระสังข์
ท้าวยศวิมลและพระนางจันท์เทวีปลอมตัวเป็นสามัญชนเข้าไปอยู่ในวัง โดยท้าวยศวิมลเข้าไปสมัครเป็นช่างสานกระบุง ตะกร้า ส่วนพระนางจันท์เทวีเข้าไปสมัครเป็นแม่ครัว และในวันหนึ่ง พระนางจันท์เทวีก็ปรุงแกงฟักถวายพระสังข์ โดยพระนางจันท์เทวีได้แกะสลักชิ้นฟักเจ็ดชิ้นเป็นเรื่องราวของพระสังข์ตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้พระสังข์รู้ว่าพระมารดาตามมาแล้ว จึงมาที่ห้องครัวและได้พบกับพระมารดาที่พลัดพรากจากกันไปนานอีกครั้ง…หลังจากนั้น ท้าวยศวิมล พระนางจันท์เทวี พระสังข์กับนางรจนาได้เดินทางกลับเมืองยศวิมล ท้าวยศวิมลได้สั่งประหารพระนางจันทาเทวี และสละราชสมบัติให้พระสังข์ได้ครองราชย์สืบต่อมา
นิทานก่อนนอน ลมกับพระอาทิตย์ เรื่องราวของการแข่งขันที่สามารถใช้สอนใจลูกน้อยได้อย่างดีทีเดียว

          ในวันที่ลูกรักจะเติบใหญ่ พ่อแม่หลายคนคงอยากให้เจ้าตัวน้อยของเราโตมาเป็นคนที่มีเมตตา ไม่ว่ากับใครก็ตามที แต่จะพูดพร่ำทุกวันแบบนี้ลูกรักอาจจะไม่อยากฟังสักเท่าไร คงต้องใช้นิทานก่อนนอนมาเป็นสื่อช่วยในการสอนสักหน่อยแล้ว อย่างนิทานอีสป ลมกับพระอาทิตย์ ซึ่งฝากข้อคิดเรื่องของการแข่งขัน ความเมตตา และความอ่อนโยนได้อย่างแนบเนียน ส่วนเนื้อเรื่องก็สนุกน่าติดตาม เรียกลูกน้อยมานั่งข้าง ๆ แล้วเล่านิทานให้เขาฟังกันเลย  
 
นิทานอีสป
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว วันที่อากาศแจ่มใสท้องฟ้าปลอดโปร่ง พระอาทิตย์ออกมาส่องแสงเจิดจ้าอย่างที่เคยเป็น เจ้าลมเพื่อนเก่าได้ผ่านมาเห็นเลยหยุดแวะทักทาย "เป็นอย่างไรบ้างพระอาทิตย์มิตรแห่งเรา ไม่เจอกันเสียนานสบายดีหรือไม่" เจ้าลมตะโกนทักทายสหายเก่าสุดเสียง พระอาทิตย์ก็ตอบรับอย่างดีใจด้วยไม่เจอลมตนนี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน

นิทานอีสป
          ขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มนักเดินทางสวมเสื้อคลุมกำลังเดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่ เจ้าลมเห็นอย่างนั้นก็นึกสนุก พูดท้าทายบางสิ่งออกมา "พระอาทิตย์สหายรัก เรามาแข่งขันวัดความแข็งแกร่งกันสักหน่อยไหม" ลมกล่าวชักชวน "ได้สิ ๆ แข่งอะไรดีเล่า" พระอาทิตย์ตอบกลับแบบไม่คิดอะไร ด้านเจ้าลมก็ชี้ลงไปยังหนุ่มนักเดินทางคนนั้นพร้อมกล่าว "ง่ายมากเลย ทำยังไงก็ได้ให้เสื้อคลุมของพ่อหนุ่มคนนั้นหลุดออกมาจากตัว ใครทำสำเร็จถือเป็นผู้ชนะและแข็งแกร่งที่สุด" พระอาทิตย์พยักหน้าตอบรับ ลมเห็นว่าสหายรักรับคำท้าจึงโผไปหาหนุ่มนักเดินทาง พลางตะโกนไล่หลัง "ฉันขอเริ่มก่อนเลยนะ"

นิทานอีสป

นิทานอีสป
          เจ้าลมใช้กำลังทั้งหมดรวบรวมมาเป็นพายุขนาดย่อม หวังทำให้เสื้อคลุมตัวนั้นปลิดปลิว แต่หนุ่มนักเดินทางก็ไม่หวั่นไหวแถมยังจับเสื้อเอามาคลุมไว้แน่น ลมเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งใช้แรงบีบบังคับมากขึ้นไปอีก จนหนุ่มคนนั้นแทบไม่มีแรงก้าวเดิน "ทำไมลมในวันนี้ถึงได้มีความโหดร้ายกับฉันนักนะ" หนุ่มนักเดินทางบ่นอย่างท้อใจแล้วดึงเสื้อคลุมตัวแน่นกว่าเดิม เจ้าลมจึงรวบรวมพลังอีกครั้งพร้อมกับเป่าไปยังหนุ่มคนนั้น ถึงขั้นเดินเซเกือบล้ม 

นิทานอีสป

นิทานอีสป
          "พอเถิดหนาลมเอ๋ย เราขอลองแข่งบ้างเถิด" พระอาทิตย์กล่าวกับลม ด้วยแรงที่ใกล้จะหมดไป ลมจึงยอมให้พระอาทิตย์มาแข่งต่อ คราวนี้อากาศแจ่มใสไร้พายุใด ๆ มาก่อกวน หนุ่มนักเดินทางเลยเดินต่อจนใกล้ถึงแนวป่า ด้านพระอาทิตย์เองก็เริ่มแผนการอย่างแยบยล เขาค่อย ๆ เปล่งแสงให้ร้อนทีละนิด ทีละนิด จนหนุ่มคนนั้นเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้น อุ่นขึ้น จากความอบอุ่นกลายเป็นความร้อน พอเจอแนวต้นไม้เงียบสงบ หนุ่มนักเดินทางเลยเลือกที่จะเข้าไปนั่งพัก พร้อมถอดเสื้อคลุมตัวที่ลมท้าพระอาทิตย์วางไว้ข้างกายอย่างสบายใจ

          "ความอ่อนโยนของเธอเหนือกว่าพละกำลังที่ฉันมีจริง ๆ" ลมชื่นชมในสิ่งที่พระอาทิตย์ทำลงไป "ไว้มีโอกาสคราใด เราจะแวะมาหาใหม่นะพระอาทิตย์เพื่อนรัก" ทั้งคู่จึงยิ้มร่ำลากันอย่างมีความสุข

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          การใช้กำลังและความรุนแรงแข่งขันกันไม่ทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอไป บางครั้งอาจจะต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นเพราะการกระทำอันก้าวร้าวของเราก็เป็นได้ แต่ถ้าเปลี่ยนความรุนแรงมาเป็นความอ่อนโยนและมีเมตตา ไม่ว่าจะทำอะไรย่อมได้ผลสำเร็จตอบแทนอย่างที่หวังแน่นอน
ลาโง่กับสิงโต นิทานอีสปสอนใจที่ให้ข้อคิดแก่เด็ก ๆ ได้นำไปปรับใช้ในชีวิต อีกทั้งยังมีเนื้อหากระชับเหมาะสำหรับไว้เล่าให้ลูกฟังก่อนนอนได้อีกด้วย


          หลังจากที่ลูกรักวิ่งเล่นหรือเรียนหนังสือมาจนเหนื่อย เมื่อถึงเวลาเข้านอนถือเป็นเวลาที่ดีในการอบรมสั่งสอนหรือให้ข้อคิดกับเขา แต่ถ้าพ่อแม่คนไหนพูดไม่ค่อยเก่ง หรือกลัวว่าลูกรักจะไม่ยอมอยู่นิ่ง ถ้าอย่างนั้นลองเอานิทานอีสปก่อนนอนไปเล่าให้เขาฟังกันเลย อย่าง นิทานอีสป ลาโง่กับสิงโต  ที่กระปุกดอทคอมเอามาฝากนี้แหละ ทั้งสนุกและปลูกฝังข้อคิดสอนใจ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น มาตามอ่านกันได้เลย

นิทานอีสป
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสิงโตเจ้าป่าอยู่ตัวหนึ่ง มันมักจะออกล่าเหยื่อเพียงลำพัง และทุกครั้งก่อนออกล่าก็ต้องส่งเสียงร้องคำรามลั่นป่าตามสัญชาตญาณทุกครั้งไป ในช่วงแรกก็มีสัตว์ให้สิงโตได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ แทบจะไม่ต้องออกแรงวิ่งตามให้เหนื่อยสักนิด แต่ช่วงหลังมานี้เหล่าสัตว์ที่ตกเป็นเหยื่อทั้งหลายเริ่มรู้ว่า ก่อนออกล่าเจ้าป่าจะชอบส่งเสียงคำรามดังก้อง แม้มองไม่เห็นตัวของมัน แต่ก็พอเดาได้ว่าเสียงนั้นมาจากทิศทางใดกันแน่

          "เสียงสิงโตร้องคำรามอีกแล้ว น่าจะดังมาจากภูเขาลูกนั้นแน่เลย" เสียงกวางหนุ่มหันไปบอกเจ้าหมูป่าที่กำลังแทะผลไม้อย่างเอร็ดอร่อย หมูป่าหันขวับขึ้นมาด้วยท่าทางตกใจ "ถ้าอย่างนั้นเรารีบวิ่งหลบไปอีกฝั่งแม่น้ำกันดีกว่า !" หมูป่าเอ่ยชวนเจ้ากวาง แล้วทั้งคู่ก็วิ่งออกไปพร้อมตะโกนบอกสัตว์อื่นให้หนีไปทางแม่น้ำกัน

นิทานอีสป
          "สิงโตมาแล้ว มันกำลังจะมาล่าเหยื่อแล้ว รีบวิ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำกันพวกเรา !" เสียงหมูป่าและกวางหนุ่มร้องเตือนด้วยความตื่นกลัว

        เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเหล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยเลยไหวตัวทัน พากันวิ่งหนีออกไปอีกทาง ทำให้สิงโตเจ้าป่าต้องตามไปสุดฝีเท้า กว่าจะได้กินเหยื่อแต่ละครั้งก็เหนื่อยจนแทบหมดแรง

นิทานอีสป
          "เห็นทีจะวิ่งไล่เจ้าสัตว์ป่าพวกนี้ไม่ไหวแล้วเรา คงต้องหาแผนการใหม่ซะแล้ว" สิงโตบ่นกับตัวเองขณะกินเหยื่อที่อุตส่าห์ออกล่าอย่างยากลำบาก  

          อยู่มาวันหนึ่ง สิงโตรู้ว่ามีลาโง่ผู้ชอบโอ้อวดอยู่อีกฟากของป่า ทำให้มันคิดแผนใหม่ได้ จึงออกเดินทางไปชวนให้เจ้าลาตัวนั้นมาเป็นเพื่อนล่าเหยื่อด้วยกัน 

นิทานอีสป
          "เจ้าลาหนุ่มผู้ปราดเปรื่อง ตอนนี้ข้ากำลังหาเพื่อนมาล่าเหยื่อด้วยกัน เจ้าสนใจอยากมาเป็นคู่หูรู้ใจกับข้าหรือไม่" สิงโตกล่าวกับลาด้วยนัยน์ตามีเลศนัย ได้ยินอย่างนั้นเจ้าลาก็ยิ่งดีใจ ไม่คิดว่าจะมีสิงโตผู้น่าเกรงขามมาขอเป็นเพื่อน "ท่านเจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่มาชวนข้าด้วยตัวเองอย่างนี้ มีหรือที่จะปฏิเสธได้ ถ้าอย่างนั้นเราไปล่าเหยื่อด้วยกันเถิด สิงโตเพื่อนรัก" เจ้าลาโง่กล่าวด้วยความซื่อไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วสิงโตไม่ได้มองว่ามันเป็นเพื่อนสักนิด แถมยังยินยอมตามเจ้าป่าไปแบบไม่มีข้อแม้

          เมื่อเวลาออกล่าเหยื่อมาถึง สิงโตใช้กลอุบายให้ลาซ่อนตัวในพุ่มไม้แล้วก็เปล่งเสียงออกมาแบบดังที่สุด "เจ้าซ่อนตัวในพุ่มไม้นี่นะลาเพื่อนรัก พอข้าเดินไปถึงฝั่งตรงข้ามเจ้าก็ร้องคำรามเสียงอันน่าเกรงขามมาได้" สิงโตพูดพร้อมวิ่งออกไปอีกทาง

นิทานอีสป
          "เราจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังเลย สิงโตเพื่อนรักเอ๋ย" จากนั้นลาโง่ก็คำรามออกมาสุดกำลัง พอสัตว์อื่นได้ยินเสียงประหลาดของมันเลยตกใจ แล้วพากันวิ่งหนีไปฝั่งที่สิงโตดักเอาไว้อีกทาง 

          วันนั้นสิงโตเจ้าเล่ห์เลยมีเหยื่อให้กินแบบไม่ต้องออกแรงวิ่งอย่างที่เคยเป็น ส่วนเจ้าลาโง่ก็เที่ยวเล่าเรื่องที่ตนทำกับสิงโตอย่างโอ้อวดไปทุกที่ที่เดินผ่าน โดยไม่รู้เลยว่าสัตว์อื่นต่างหัวเราะเยาะที่มันโดนเจ้าป่าหลอกใช้เอาเสียงประหลาด ๆ มาสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง "เสียงคำรามประหลาด ๆ นั่นคือเสียงของเจ้าลานี่หรอกหรือ" กวางหนุ่มบ่นกับหมูป่า พร้อมหันมาหัวเราะเยอะในความโง่ของเจ้าลาตัวนั้นกัน

นิทานอีสป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          อย่าตกเป็นเหยื่อให้คนอื่นหลอกใช้เพียงเพราะเขาคนนั้นมีความน่าเชื่อถือหรือมีหน้ามีตาในสังคม เด็ก ๆ ควรตรวจสอบให้ดีเสียก่อนว่าสิ่งที่เขาให้เราช่วยนั้นจะทำเราเดือดเนื้อร้อนใจภายหลังหรือไม่ แล้วมันจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของเราในอนาคตหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นอาจเข้ากับคติเตือนใจที่ว่า คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดได้แบบไม่รู้ตัว
สุนัขจิ้งจอกกับพวงองุ่น นิทานอีสปสอนใจเนื้อหาสนุกและได้แง่คิดดี ๆ ที่เหมาะกับการเล่าให้ลูกน้อยฟังก่อนนอน

          ช่วงเวลาก่อนเข้านอน คือช่วงสำคัญที่หลายบ้านได้อยู่ด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา คุณพ่อคุณแม่ควรหา นิทานอีสปก่อนนอน ไว้เล่าให้ลูกน้อยฟัง เพื่อเป็นการเสริมสร้างจินตนาการและสอนคุณธรรมไปในตัว วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอเอานิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับพวงองุ่น มาฝากกัน รับรองว่าจะต้องสนุกและได้รับแง่คิดดี ๆ ไปแน่นอน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ตามมาอ่านได้เลย

นิทานอีสป
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ป่าผืนใหญ่ที่เหล่าสัตว์ได้อาศัยพักพิงเกิดความแห้งแล้งกันดาร มีแหล่งน้ำและอาหารไม่เพียงพอต่อการประทังชีวิต เจ้าสุนัขจิ้งจอกที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้มาเนิ่นนาน จึงตัดสินใจออกเดินทางด้วยหวังใจว่าจะเจอกับแหล่งหากินอันอุดมสมบูรณ์ มันเริ่มเดินรอนแรมอยู่หลายวัน ไม่ได้กินแม้กระทั่งน้ำสักหยดจนเริ่มหมดแรง "เอายังไงล่ะเรา เดินมาไกลขนาดนี้แล้วยังไม่เจออะไร ควรตัดใจแล้วกลับไปที่เดิมดีไหมนะ" สุนัขจิ้งจอกผู้หิวโหยบ่นกับตัวเอง "ไหน ๆ ก็มาแล้ว เดินต่อไปอีกหน่อยก็แล้วกันนะ" มันจึงรุดหน้าเดินต่อไปอย่างอ่อนแรง
นิทานอีสป
          เดินมาได้สักพักไม่ทันเหนื่อยนัก เจ้าสุนัขจิ้งจอกก็เหลือบไปเห็นองุ่นพวงโตแดงฉ่ำน่ากิน "นี่ไง ! โชคดีแล้วเรา เจอองุ่นพวงใหญ่ขนาดนี้ ถ้าได้ลิ้มลองคงหวานฉ่ำและอิ่มท้องหลายวันแน่ ๆ" สุนัขจิ้งจอกไม่รอช้ารีบกระโดดคว้าองุ่นในทันใด "ฮึบ ! อีกนิดเดียว... ฮึบ !" เจ้าสุนัขส่งเสียงให้กำลังใจตัวเองอย่างฮึกเหิม แต่ทำอย่างไรก็ยังกระโดดไม่ถึงพวงองุ่นสักที

นิทานอีสป

          "ลองกระโดดจากหินก้อนนั้นดู น่าจะทุ่นแรงและเอื้อมถึงองุ่นพวงนี้ง่ายขึ้นอยู่นะ" ว่าแล้วสุนัขจิ้งจอกจึงเดินไปยังก้อนหินนั้น พร้อมกระโดดขึ้นจนสุดแรง "ฮึบ ! โธ่ อีกเพียงเอื้อมก็จะได้ลิ้มรสองุ่นแล้ว" สุนัขจิ้งจอกบ่นอย่างท้อใจ แล้วพยายามขึ้นไปบนก้อนหินเพื่อกระโดดอีกครั้ง "ฮึบ !" สุดท้ายมันก็พลาด ไม่อาจคว้าองุ่นมากินได้ "อันที่จริงองุ่นพวงนี้ก็ไม่เห็นจะน่ากินสักเท่าไรนัก ถ้าเรากัดเข้าไปอาจเปรี้ยวจี๊ดจนกินไม่ไหวเลยก็ได้" สุนัขจิ้งจอกแสร้งบ่นแล้วเดินทางต่อด้วยความหิวโซ พร้อมหลอกตัวเองในใจเรื่อยไปว่า "ฉันมีความอดทนและความพยายามนะ แต่องุ่นพวงนั้นคงเปรี้ยวเกินที่ฉันจะกินได้"

นิทานอีสป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :

          เมื่อคิดจะทำสิ่งใดก็ควรทำให้สุดกำลังที่มี อย่ายอมแพ้แม้ว่าสิ่งนั้นต้องใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม เพราะสุดท้ายแล้วความพยายามจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีกว่าเสมอ ดังนั้นเด็ก ๆ จึงไม่ควรทำตามสุนัขจิ้งจอกผู้มัวโทษสิ่งอื่นรอบตัว แต่กลับลืมนึกไปว่าตนเองนั่นแหละที่ไม่พยายามมากพอ